อย่างไร? เป็นการกระทำที่เป็นความผิด " เบิกความเท็จ " ในคดีอาญา เป็นอย่างไร?
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เป็นบทลงโทษ ผู้ที่กระทำความผิด โดยรู้ความจริง และนำความเท็จมากล่าวต่อศาล ด้วยเจตนาที่รู้ความจริง และไม่กล่าวความจริง นำความเท็จมากล่าวต่อศาล ในการสืบพยานคดีอาญา
ด้วยเนื่องจากผู้กล่าวนั้น มีสาเหตุโกรธเคืองกับคู่กรณีในคดีความนั้น หรือ เจตนากล่าวความเท็จทั้งๆที่รู้ความจริง ว่าไม่มีการกระทำความผิด เช่น ไม่มีการกระทำที่เป็นการใส่ความผู้ใด แต่ผู้นั้น รู้ความจริง และกล่าวว่ามีการใส่ความเกิดขึ้น
การกล่าวความเท็จในคดีอาญา ต้องมีการกล่าวในขณะมีการสืบพยานเท่านั้น และเป็นการสืบพยานต่อหน้าศาล รวมทั้ง กรณีสืบพยานผ่านระบบจอภาพของศาล ตามระเบีบบของประธานศาลฎีกา
การกล่าวความเท็จ ในกรณีที่มีสาเหตุโกรธเคืองกับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะเคยมีคดีความกันมาก่อน มีการฟ้องร้องกันหลายคดี ฟ้องร้องในลักษณะแก้เกี้ยว ไม่มีการกระทำความผิด แต่รู้ความจริง มาเบิกความในลักษณะยืนยันว่า มีการกระทำความผิดตามฟ้อง ซึ่งไม่เป็นความจริง เจตนากล่าวความเท็จในการสืบพยานว่ามีการกระทำความผิด เหล่านี้มีโทษหนัก
กฎหมาย ไม่ประสงค์ให้มีการกล่าวเท็จในคดีอาญา และคดีแพ่ง กรณีที่มีกล่าวความเท็จในคดีอาญาและคดีแพ่งมีความผิดและเป็นโทษจำคุก เพราะเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย
ด้วยความจริง ว่ามีการใส่ความให้เสียหายต่อชื่อเสียงหรือไม่ ความจริงว่า เห็นการกระทำความผิดที่เป็นการใส่ความหรือไม่ เหล่านี้ เป็นข้อความจริงที่ต้องกล่าวต่อศาล เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีของศาล
กรณีที่ไม่พอใจคู่ความ แล้วนำความเท็จมากล่าว กันในหลายคดี ย่อมเป็นความร้ายแรงในลักษณะของคดีความ เพราะเป็นการกระทำที่รู้ความจริงอยู่แล้ว และยังกล่าวเท็จในการสืบพยานหลายๆครั้ง ในแต่ละคดี เป็นเหตุในลักษณะคดีที่ร้ายแรง ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวความซึ่งเป็นคู่กรณี กัน และเป็นความเสียหายที่ร้ายแรงมาก
การกล่าวความเท็จต่อศาลนั้น ผู้เสียหายโดยตรงคือ คู่ความในคดีนั้นๆ ไม่ใช่ทนายความ ไม่ใช่ศาล ไม่ใช่พนักงานอัยการ ดังนั้น ถ้ามีการกล่าวเท็จ คู่ความในคดีนั้นๆ ซึ่งเป็นผู้เสียหายย่อมฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาเบิกความเท็จนั้นได้ตามกฎหมาย
การกล่าวความเท็จ นั้น มาจากสาเหตุโกรธเคืองกัน ย่อมเป็นกรณีร้ายแรง เพราะกฎหมายให้มีการแสวงหาพยานหลักฐาน ไม่ใช่เบิกความตามความพึงพอใจ หรือ มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ในกรณีที่มีฟ้องร้องกลั่นแกล้งกันหลายคดี
ดังนั้น การเบิกความให้เป็นไปตามความจริงและเบิกความไปตามพยานหลักฐาน จักทำให้เป็นเครื่องปกป้องตัวเอง ให้ไม่ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายครับ
จัดพิมพ์โดย
ทนายความตรีสุพจน์ ตันตยาภิรมย์กุล
#ทนายความ #ทนายความตรีสุพจน์ #รับปรึกษาเพื่อต่อสู้คดีอาญา