ผู้ประกอบการรับบริหารหมู่บ้าน เป็นผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค หรือไม่
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 กล่าวว่า ผู้ให้บริการดูแล และบริหารนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร นั้น เป็นผู้ประกอบธุรกิจ กรณีที่มีการเรียกเก็บค่าดำเนินการกับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ไม่ว่าจะมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์หรือไม่ ก็ตาม และไม่ว่าจะทำสัญญาจ้างแบบลูกจ้างของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งความจริง การดำเนินการบริหารหมู่บ้านจัดสรรนั้น ต้องดูแลพื้นที่ทั้งหมดภายในโครงการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับหมู่บ้านจัดสรร และพรบ จัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 ด้วยความสามารถและด้วยการดำเนินการของผู้รับบริหารหมู่บ้านจัดสรร ( ทั้งแบบ ที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลบริษัทต่างๆ )
การปัดความรับผิด ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาล ว่าเป็นเพียงแค่พนักงานลูกจ้างของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ทำให้เสียหายแต่ผู้บริโภค เพราะนายจ้างต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้เสียหาย ในสภาพการจ้าง และผู้รับบริหารหมู่บ้านมักจักบ่ายเบี่ยงให้ไปเรียกเก็บค่าสินไหมทดแทนกับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่จัดสรร กระทบต่อความเชื่อมั่นในการดูแลเครื่องสาธารณูปโภคในอนาคต กระทบต่อสมาชิกซึ่งเสียหายและได้ชำระค่าส่วนกลาง เพื่อมาบำรุงดูแลสาธารณูปโภคได้
เพื่อป้องกัน การหลอกลวงในฐานะผู้บริโภค ผมจึงแนะนำให้ทำสัญญาจ้างผู้บริหารโครงนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เป็นลายลักษณ์อักษร และกำหนดค่าดำเนินการโดยชัดแจ้ง กำหนดข้อที่กรณีเกิดความเสียหายและนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ฝ่ายผู้รับบริหารหมู่บ้านซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ต้องรับผิดต่อสมาชิก และบุคคลภายนอก โดยไม่มีเงื่อนไข และป้องกันผลประโยชน์ของสมาชิกที่ชำระค่าส่วนกลาง รวมทั้งปกป้องผลประโยชน์ของโครงนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร จากความเสียหายในอนาคตได้
เขียนโดย
ทนายความตรีสุพจน์ ตันตยาภิรมย์กุล
#ทนายความ #ทนายความที่ปรึกษาโครงการนิติบุคคลจัดสรร #ทนายความที่ปรึกษาคอนโด